วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน

มาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน

โดย นายวิชัย สุภาโสด วิศวกรชลประทาน 8 วช.
สำนักอุทกวิทยาและบริหารน้ำ กรมชลประทาน

บรรยากาศของ กทม.กลางเดือนมีนาคม (15 มีค.49) นี้ ช่างร้อนรุ่มได้ประทับใจ จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกระแสอุณหภูมิของอากาศ กระแสอารมณ์ของผู้ใช้รถใช้ถนน และกระแสการเมือง ที่ทวีความรุ่มร้อนจากสภาพปกติอย่างมาก ทุกคนใน กทม.กำลังเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรกระแสความรุ่มร้อนต่างๆเหล่านี้ จะสามารถบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง แต่ถึงจะร้อนอย่างไรก็ตามสำหรับผู้คนที่กรมชลประทานแล้ว ช่วงนี้ภาระกิจหลักคงไม่พ้นเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำเสียอย่างแน่นอน ถึงแม้สถานการณ์จะยังไม่ตึงเครียดนัก แต่เพื่อความไม่ประมาทแล้วก็ต้องเตรียมการแก้ไขปัญหากันไว้ก่อน
และสำหรับผมนั้น ช่วงนี้ได้รับการติดต่อจากเพื่อนฝูง รุ่นพี่ รุ่นน้อง หลายคน ว่าขอให้ผมช่วยจัดหาเอกสารกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งที่จะระบายลงสู่ทางน้ำชลประทาน ส่งให้ด้วย เพื่อจะนำไปใช้ในการติดตามดูแล แก้ไขปัญหา และประเมินสถานการณ์น้ำเสียในพื้นที่ที่ดูแลอยู่ เนื่องจากเอกสารพวกนี้ผมเคยจัดเก็บอยู่สมัยที่ผมทำงานเป็นเลขานุการคณะทำงานทางวิชาการด้านส่งน้ำและบำรุงรักษา ผมจึงได้ค้นหาและจัดส่งไปให้ ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

มาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน กรมชลประทาน
…………………………………………

1. ค่าความเป็นกรดด่าง (pH ) ระหว่าง 6.5 ถึง 8.5
2. ค่าความนำไฟฟ้า ( EC x 106 ) ไม่มากกว่า 2000 ไมโครโมส์/ซม.
3. ค่าของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (TDS) รวมกัน ไม่มากกว่า 1,300 มิลลิกรัม/ลิตร
4. ค่า BOD5 ( 5 วันที่อุณหภูมิ 20 C ) ไม่มากกว่า 20 มิลลิกรัม/ลิตร
5. ค่าของแข็งแขวนลอย (SS) ไม่มากกว่า 30 มิลลิกรัม/ลิตร
6. ค่าของเปอร์มังกาเนต ( PV. ) ไ ม่มากกว่า 60 มิลลิกรัม/ลิตร
7. ค่าซัลไฟด์ คิดเทียบเป็นไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ไม่มากกว่า 1 มิลลิกรัม /ลิตร
8. ค่าไซยาไนด์ คิดเทียบเป็นไฮโดรเจนไซยาไนด์ (HCN) ไม่มากกว่า 0.2 มิลลิกรัม/ลิตร
9. ค่าน้ำมันและไขมัน ไม่มากกว่า 5 มิลลิกรัม / ลิตร
10. ค่าฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่มากกว่า 1 มิลลิกรัม/ลิตร
11. ค่าพินอล และครีโซลซ์ ไม่มากกว่า 1 มิลลิกรัม / ลิตร
12. ค่าคลอรีนอิสระ ไม่มากกว่า 1 มิลลิกรัม/ลิตร
13. ค่ายาฆ่าแมลง และสารกัมมันตรังสี ต้องไม่มีเลย
14. สีหรือกลิ่น ของน้ำทิ้งที่ระบายลงสู่ทางน้ำชลประทาน ต้องไม่เป็นที่พึงรังเกียจ
15. ค่าน้ำมันทาร์ ต้องไม่มีเลย
16. ค่าโลหะหนัก ควรมีดังนี้
สังกะสี ( Zn ) ไม่มากกว่า 5.00 มิลลิกรัม/ลิตร
โครเมี่ยม ( Cr ) ไม่มากกว่า 0.30 มิลลิกรัม/ลิตร
สารหนู ( As ) ไม่มากกว่า 0.25 มิลลิกรัม/ลิตร
ทองแดง ( Cu ) ไม่มากกว่า 1.00 มิลลิกรัม/ลิตร
ปรอท ( Hg ) ไม่มากกว่า 0.005 มิลลิกรัม/ลิตร
แคดเมี่ยม ( Cd ) ไม่มากกว่า 0.03 มิลลิกรัม/ลิตร
แบเรียม ( Ba ) ไม่มากกว่า 1.00 มิลลิกรัม/ลิตร
เซเลเนียม ( Se ) ไม่มากกว่า 0.02 มิลลิกรัม/ลิตร
ตะกั่ว ( Pb ) ไม่มากกว่า 0.10 มิลลิกรัม/ลิตร
นิเกิ้ล ( Ni ) ไม่มากกว่า 0.20 มิลลิกรัม/ลิตร
แมงกานีส (Mn) ไม่มากกว่า 5.00 มิลลิกรัม/ลิตร

เมื่อได้จัดส่งไปให้แล้วก็นึกว่าเรื่องคงจะจบลงไปได้โดยดี แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะมีการสอบถามกลับมาว่าเอกสารมาตรฐานฯนี้ได้ถูกกำหนดโดยผู้ใด การกำหนดรายละเอียดต่างๆไว้มีเหตุผลประกอบอย่างไร กำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อไร หากมีการดำเนินการระบายน้ำทิ้งที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานเหล่านี้ผู้ควบคุมดูแลพื้นที่ นั้นๆ จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง มาตรฐานพวกนี้สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้หรือไม่…… และก่อนที่จะมีการยิงคำถามมากกว่านี้ ผมก็ได้ตัดบทลงว่า “ พอๆ.. พอแล้วทำไม…ถึงได้ช่างสงสัยมากจริง….” แต่ก็ได้รับการตอบสวนกลับว่า “ อยู่ต่างจังหวัด..น่ะ มีผู้ยิ่งใหญ่เยอะ… หากมีการสอบถามอะไร ก็ต้องตอบใช้ได้ชัดเจน มีเหตุผลและหลักฐานอ้างอิงประกอบให้ได้ มิฉะนั้นเรื่องจะยาวและไม่จบง่าย อยู่ส่วนกลางอย่างคุณ..น่ะหาข้อมูลง่าย… นึกว่าช่วยเหลือหน่อยเถอะ.. ” ด้วยความเป็นเพื่อน… เมื่อเจอะลูกอ้อนแบบนี้ ก็ต้องตอบ “ Yes..” อย่างเดียวเท่านั้น แต่ในใจก็ยังครุ่นคิดว่าคนอยู่ส่วนกลางอย่างผมนี่ น่าจะมีความสามารถหาไขมันได้ง่ายกว่า การหาข้อมูลที่ขอมาอีกเป็นไหนๆ แต่ก็ไม่รู้จะไปตอบใครได้
จากบรรดาคำถามต่างๆ ของเพื่อนๆผมข้างต้น ทำให้ผมต้องเริ่มหยิบตำรับ ตำรา เอกสารประกอบการประชุมและประมวลคำสั่งเก่าๆในอดีตที่ได้สะสมไว้ เอาออกมาปัดฝุ่น เพื่ออ่านและศึกษาหาคำตอบต่อไป และไหนๆผมก็ได้ลงมือค้นคว้า แล้ว ผมจึงใคร่ขออนุญาตนำข้อมูลเหล่านั้น มาเสนอท่านผู้อ่านให้ทราบ ดังนี้
เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังพัฒนาจากเกษตรกรรม มาเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่จึงทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม บ้านจัดสรร อย่างรวดเร็ว และได้ขยายกิจการเข้ามาในพื้นที่การชลประทาน โดยมีการทิ้งน้ำเน่าเสียลงในทางน้ำชลประทาน ทำให้เกิดปัญหามลภาวะต่อทางน้ำชลประทาน ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ที่ใช้ประโยชน์จากน้ำชลประทาน สำหรับการอุปโภค-บริโภค การประมง การเกษตร ฯลฯ และนับวันปัญหาดังกล่าวจะทวีความรุนแรงเพิ่มยิ่งขึ้น กรมชลประทาน จึงจำเป็นต้องมีมาตรการดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนโดยกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน เพื่อให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เป็นการป้องกันมลภาวะอันเป็นพิษของน้ำที่จะเกิดในทางน้ำชลประทาน

เหตุผลที่กำหนดค่ามาตรฐานน้ำทิ้งต่างๆ ในทางน้ำชลประทาน
เนื่องจากทางน้ำชลประทาน มีปริมาณน้ำน้อยโดยเฉพาะในฤดูแล้ง และการหมุนเวียนของน้ำในทางน้ำชลประทานก็มีน้อยกว่าการหมุนเวียนของน้ำในแม่น้ำธรรมชาติ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดคุณภาพน้ำทิ้ง เข้มงวดกว่ามาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในด้านปริมาณเกลือ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับน้ำทางการเกษตร เช่น ค่าความนำไฟฟ้า (EC x 106) , ค่าของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (TDS) เพราะถ้าอนุญาตให้มีปริมาณเกลือสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค สำหรับค่าความเป็นกรด ด่าง( pH ) นั้นกำหนดให้ให้เป็น 6.5 - 8.5 เพื่อความเหมาะสมกับความต้องการของพืชแต่ละชนิด สำหรับค่าโครเมี่ยมและตะกั่ว กำหนดให้น้อยกว่ามาตรฐานของอุตสาห-กรรม เนื่องจากโลหะทั้งสองตัวนี้เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อผู้บริโภค ส่วนค่าตัวอื่นๆ กำหนดตามมาตรฐานของอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพราะอุตสาหกรรมแต่ละชนิดจะมีมวลสารชนิดต่างๆ แตกต่างกัน ฉะนั้นโรงงานต่างๆจะปล่อยมวลสารไม่เหมือนกัน จึงทำให้ทางน้ำชลประทานพอที่จะสามารถรับมวลสารต่างๆ กันได้ สำหรับค่า BOD5 และ ค่าของเปอร์มังกาเนต (PV.) นั้น กำหนดให้เท่ากับของมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อความเป็นไปได้สำหรับการสร้างระบบบำบัด ส่วนเหตุผลประกอบการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งต่างๆ ที่จะยอมให้ระบายลงสู่ทางน้ำชลประทาน มีดังต่อไปนี้
1. การกำหนดค่าความเป็นกรด ด่าง (pH) ระหว่าง 6.5 - 8.5 ของคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน ก็เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของพืชแต่ละชนิด เพราะพืชส่วนใหญ่ชอบความเป็นกรดและด่างเพียงเล็กน้อย ( มาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนด ระหว่าง 5.0 – 9.0 ซึ่งถือว่ามีความเป็นกรด ด่างที่แรงเกินไปกว่าที่พืชจะรับได้ และจะก่อความเสียหายต่อการทำการเกษตรได้ )
2. การกำหนดค่าความนำไฟฟ้า ( EC x 106 ) ไม่มากกว่า 2,000 ไมโครโมส์/ซม. หรือมีสารละลายเกลืออยู่ 1.28 กรัม/ลิตร เมื่อทิ้งลงในคลองชลประทานก็จะทำให้สารละลายเจือจางลง ถ้าคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทานมีสารละลายเกลือเข้มข้นสูง ก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อพืช และยังทำให้มีเกลือสะสมอยู่บนผิวดินซึ่งเป็นอันตรายต่อการปลูกพืช และการทำการเกษตรด้วย (มาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรมไม่มีการกำหนดค่านี้ไว้)
3. การกำหนดค่าของแข็งที่ละลายได้ (TDS) ไม่มากกว่า 1,300 มิลลิกรัม/ลิตร เพราะว่าปริมาณ น้ำในคลองชลประทานมีอยู่น้อย โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งก็จะน้อยมาก ทำให้สารละลายที่มีอยู่ในน้ำมีความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดอันตรายต่อการอุปโภค–บริโภค การประมงและการเกษตร กรมชลประทานจึงกำหนดค่า TDS ให้มีความเข้มข้นน้อยกว่าของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยลดตะกอนพวกอินทรียวัตถุ และสารแขวนลอยให้ลดน้อยลงด้วย ( มาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนด ไม่มากกว่า 2,000 มิลลิกรัม/ลิตร)
4. การกำหนดค่า Biochemical Oxygen Demand (BOD5) ( 5 วัน ที่อุณหภูมิ 20 C๐ ) ไม่มากกว่า 20 มิลลิกรัม/ ลิตร เพราะถ้าคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทานมีค่า BOD5 สูงกว่านี้น้ำจะมีความสกปรกมาก เพราะว่ามีสารอินทรียวัตถุละลายอยู่ในน้ำมาก จะทำให้เกิดผลกระทบทางด้านสาธารณสุข ทางด้านประมง ทางด้านเกษตรและความสวยงามของแหล่งน้ำ จะทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำน้อยลงและจะเกิดความเน่าเสียของน้ำได้ และจะทำให้เกิดอันตรายต่อการอุปโภค–บริโภค เพราะเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในท้องไร่ท้องนายังคงมีความจำเป็นต้องใช้น้ำในทางน้ำชลประทาน นี้ เพื่อการอุปโภค–บริโภค อยู่อย่างมาก
5. การกำหนดค่าของแข็งที่แขวนลอย (SS ) ไม่มากกว่า 30 มิลลิกรัม/ลิตร เพราะถ้าคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทานมีค่า SS สูง จะมีตะกอนสารแขวนลอยมาก ไม่เหมาะสมที่จะนำไปใช้ในด้านประปา และทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเกิดการสะสมตัวกับสารเคมีในดิน ทำให้เกิดดินแน่นและทำให้น้ำซึมผ่านได้น้อย
6. การกำหนดค่าเปอร์มังกาเนท (PV.) ไม่มากกว่า 60 มิลลิกรัม/ลิตร น้ำทิ้งที่มีปริมาณสารอินทรีย์อยู่เป็นจำนวนน้อย จะไม่มีปัญหาทางมลภาวะของน้ำ ถ้ามีค่า PV สูงกว่านี้ จะมีสารอินทรีย์สูงทำให้เกิดความสกปรกไม่เหมาะสมต่อการอุปโภค–บริโภค การประมงและการเกษตร
7. การกำหนดค่า ซัลไฟด์ คิดเทียบเป็นไฮโดรเจนซัลไฟด์ ( H2S) ไม่มากกว่า 1 มิลลิกรัม/ลิตร เพราะว่าน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน จะต้องไม่มีกลิ่นเป็นที่รังเกียจต่อแหล่งชุนชน หากคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน มีค่า H2S มากกว่านี้ จะทำให้เกิดมีกลิ่นเหม็น จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการอุปโภค – บริโภค และยังทำให้เกิดกลิ่นที่สร้างความรำคาญต่อชุมชนอีกด้วย
8. การกำหนดค่า ไซยาไนด์ ( Cyanide ) ไม่มากกว่า 0.2 มิลลิกรัม/ ลิตร เพราะว่าถ้าคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทานมีค่าไซยาไนด์สูงกว่านี้ จะเป็นพิษต่อปลา จุลินทรีย์ในน้ำ และชีวิตคน เนื่องจากไซยาไนด์เป็นสารพิษที่มีการสะสมตัว อันได้แก่ สารประกอบของโลหะประเภทอัลคาไลด์ และโลหะหนัก ซึ่งสารประกอบพวกนี้จะมีอยู่ในน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม และน้ำโสโครก
9. การกำหนดค่าน้ำมันและไขมัน ( Oil & Greese ) ไม่มากกว่า 5.0 มิลลิกรัม/ลิตร เพราะว่าถ้าน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทานมีค่าน้ำมันและไขมันมากกว่านี้ จะทำให้มีกลิ่นและรสไม่เหมาะสมต่อการอุปโภค-บริโภค
10. การกำหนดค่าฟอร์มัลดีไฮด์ ( Formaldehyde ) ไม่มากกว่า 1 มิลลิกรัม/ลิตร เพราะว่าถ้าน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน มีค่าฟอร์มัลดีไฮด์สูง สารนี้เป็นพิษจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เนื่องจากว่าเป็นสารที่ไวต่อปฏิกริยาการรวมตัวกับสารจำพวกโปรตีนมาก
11. การกำหนดค่าฟีนอล และครีโซลส์ ( Phenols & Cresols ) ไม่มากกว่า 1 มิลลิกรัม/ลิตร เพราะทั้งฟีนอลและครีโซลส์ มีโครงสร้างเป็นอนุพันธุ์ไฮดรอกซี่ของเบนซีน และวงเบนซีนที่เชื่อมกัน โดยปกติสารนี้จะมีอยู่ในน้ำทิ้งของโรงงานอุตสาหกรรมและแหล่งน้ำทั่วไป ถ้าคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทานมีค่าฟีนอล และครีโซลส์สูง จะเป็นพิษและเป็นอันตรายต่อชีวิต เมื่อได้รับสารนี้เป็นปริมาณมาก
12. การกำหนดค่าคลอรีนอิสระ ( Free Chlorine ) ไม่มากกว่า 1 มิลลิกรัม / ลิตร ในแหล่งน้ำธรรมชาติจะมีคลอรีนอิสระอยู่เป็นจำนวนน้อย ไม่มากเหมือนน้ำทิ้งในโรงงานอุตสาหกรรม และพืชก็ต้องการคลอรีนเป็นธาตุอาหารในการเจริญเติบโตเพียงเล็กน้อยเท่านั้ หากคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทานมีคลอรีนอิสระมาก จะเป็นอันตรายต่อพืชหรือสิ่งมีชีวิตบางชนิด และจะทำลายสารอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำได้ ดังนั้นเมื่อมีคลอรีนอิสระมาก จะทำให้เกิดรสและกลิ่นในน้ำไม่น่าดื่ม
13. การกำหนดค่า ยาฆ่าแมลง ( Insecticide ) และสารกัมมันตรังสี นั้น ต้องไม่มีเลยเพราะว่าถ้าสารเหล่านี้มีอยู่ในคุณภาพน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทาน จะเป็นพิษและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งคนและสัตว์ ไม่เหมาะสมในการอุปโภค – บริโภค
14. การกำหนดค่า สี หรือ กลิ่น ต้องไม่เป็นที่พึงรังเกียจ
15. การกำหนดค่าน้ำมันทาร์ ( Tar ) นั้น ต้องไม่มีเลย เพราะว่าถ้าน้ำทิ้งในทางน้ำชลประทานมีน้ำมันทาร์ปะปนอยู่ จะทำให้มีกลิ่นเหม็น ไม่เหมาะสมต่อการอุปโภค–บริโภค และน้ำมันทาร์ยังเป็นสารที่ทำให้ก่อเป็นโรคมะเร็งได้
16. การกำหนดค่าธาตุโลหะหนักทั้ง 11 ธาตุ มีดังนี้
สังกะสี ( Zn ) ไม่มากกว่า 5.00 มิลลิกรัม/ลิตร
โครเมี่ยม ( Cr ) ไม่มากกว่า 0.30 มิลลิกรัม/ลิตร
(สำหรับค่าโครเมี่ยม(Cr)มาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนด ไว้ไม่มากกว่า 0.75 มิลลิกรัม/ลิตร)
สารหนู ( As ) ไม่มากกว่า 0.25 มิลลิกรัม/ลิตร
ทองแดง ( Cu ) ไม่มากกว่า 1.00 มิลลิกรัม/ลิตร
ปรอท ( Hg ) ไม่มากกว่า 0.005 มิลลิกรัม/ลิตร
แคดเมี่ยม ( Cd ) ไม่มากกว่า 0.03 มิลลิกรัม/ลิตร
แบเรียม ( Ba ) ไม่มากกว่า 1.00 มิลลิกรัม/ลิตร
เซเลเนียม ( Se ) ไม่มากกว่า 0.02 มิลลิกรัม/ลิตร
ตะกั่ว ( Pb ) ไม่มากกว่า 0.10 มิลลิกรัม/ลิตร
(สำหรับค่า ตะก่ว ( Pb ) มาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนด ไว้ไม่มากกว่า 0.20 มิลลิกรัม/ลิตร)
นิเกิ้ล ( Ni ) ไม่มากกว่า 0.20 มิลลิกรัม/ลิตร
แมงกานิส (Mn) ไม่มากกว่า 5.00 มิลลิกรัม/ลิตร

สำหรับมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งที่จะขอระบายลงทางน้ำชลประทาน ดังกล่าวข้างต้น นี้เป็นมาตรฐานที่ออกโดยกรมชลประทาน ตามคำสั่งที่ 883/2532 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2532 และยังมีผลบังคับใช้อยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ในกรณีที่มีการดำเนินการระบายน้ำทิ้งที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานข้างต้นนี้ แนวทางของคำสั่งที่ 883/2532 กำหนดให้นายช่างชลประทานหรือหัวหน้าโครงการในเขตรับผิดชอบ นั้นๆ จะต้องดำเนินการ ตักตัวอย่างน้ำที่ปลายท่อระบายลงทางน้ำชลประทานนั้นๆ นำมาให้สำนักวิจัยและพัฒนาทำการวิเคราะห์ การตักตัวอย่างน้ำให้ทำโดยวิธีสุ่มตัวอย่างและกระทำให้เสร็จในวันเดียวกันนั้น เมื่อได้ผลวิเคราะห์ แล้วปรากฏว่าน้ำนั้นมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด ให้โครงการนั้นๆแจ้งผู้ขออนุญาตระบายน้ำดังกล่าวระงับการระบายน้ำลงทางน้ำชลประทาน จนกว่าจะทำระบบบำบัดน้ำเสียให้สามารถบำบัดน้ำออกมาได้น้ำทิ้งที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กรมชลประทานกำหนดก่อน แล้วผู้ขออนุญาตระบายน้ำฯ ต้องแจ้งให้หัวหน้าโครงการฯทราบ เพื่อโครงการฯจะได้ไปตักตัวอย่างน้ำมาวิเคราะห์อีกครั้ง เมื่อน้ำทิ้งฯมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดแล้ว จึงจะยอมให้ดำเนินการระบายน้ำทิ้งลงทางน้ำชลประทานได้ต่อไป สำหรับในกรณีผู้ระบายน้ำทิ้งฯรายนั้นยังไม่ได้ขออนุญาตระบายน้ำทิ้งลงทางน้ำชลประทาน หัวหน้าโครงการฯก็ต้องแจ้งให้ดำเนินการขออนุญาตจากกรมชลประทานให้ถูกต้องก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว จึงจะยอมให้ดำเนินการระบายน้ำทิ้งที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดลงทางน้ำชลประทานได้ต่อไป ในกรณีที่ผู้ระบายน้ำทิ้งฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามคำสั่งให้นายช่างชลประทานหรือหัวหน้าโครงการ ให้มีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาอนุญาตระบายน้ำทิ้ง และให้รื้อถอนท่อระบายน้ำนั้นออกไปให้พ้นเขตชลประทาน พร้อมกับแจ้งความดำเนินคดี ตามมาตรา 23 มาตรา 28 มีโทษตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช 2485 ซึ่งมีการแก้ไขต่างๆจนถึงลำดับปัจจุบัน ต่อไป (ข้อแนะนำในการดำเนินการกับผู้ฝ่าฝืน นั้น ควรต้องไปศึกษารายละเอียด คำสั่งกรมชลประทาน ที่ 883/2532 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2532 และพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช 2485 ซึ่งมีการแก้ไขต่างๆจนถึงลำดับปัจจุบันให้ชัดเจนก่อนจะดำเนินการ เพราะเรื่องนี้มันเป็นแง่มุมทางกฎหมาย)
สำหรับคำถามสุดท้ายที่ถามว่า ค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งที่จะขอระบายลงทางน้ำชลประทาน เหล่านี้ สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้หรือไม่ นั้น เรื่องการขอเปลี่ยนแปลงค่ามาตรฐานเหล่านี้ สามารถพิจารณาเปลี่ยนแปลงได้ โดยอธิบดีกรมชลประทาน (เพราะเรื่องนี้เป็นคำสั่งกรมฯ) และกรมชลประ-ทานก็ได้มีการพิจารณาทบทวนค่ามาตรฐานเหล่านี้ เพื่อให้ใช้งานได้ทันยุคสมัยของการพัฒนาบ้านเมือง ตลอดเวลา และตามข้อมูลในเอกสารที่ผมมีอยู่ เมื่อ 10 กันยายน 2542 ได้มีการพิจารณาเปรียบเทียบมาตรฐานของกรมชลประทานกับ มาตรฐานกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอนามัย มาตรฐานของกรุงเทพมหานคร มาตรฐานน้ำทิ้งที่ดินจัดสรร มาตรฐานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐานกรมควบคุมมลพิษ แล้ว เห็นว่ายังเป็นมาตรฐานที่ดีอยู่ จึงให้คงมาตรฐานนี้ใช้งานได้ต่อไป
สำหรับในความคิดเห็นของผมซึ่งเคยศึกษาเรื่องนี้โดยละเอียดสมัยที่เรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั้น มีความเห็นว่าค่ามาตรฐานที่กรมชลประทานกำหนดไว้ นั้นมีความสมบูรณ์และทันสมัยดีอยู่แล้ว แต่มีความเห็นเพิ่มเติมว่าปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีมากมาย การแข่งขันทางด้านธุรกิจการค้า เป็นไปอย่างเฟื่องฟู ผู้ประกอบการบางรายต้องการลดต้นทุนการผลิต จึงหันมาศึกษาแง่มุมทางกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ เพื่อหาช่องโหว่ที่ไม่ผิดกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ แล้วดำเนินการปล่อยมลภาวะเป็นพิษต่างๆที่ไม่กำหนดไว้ในกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ นั้น ออกมาสร้างปัญหาให้กับประชาชน ดังนั้นในอนาคตหากจะมีการเพิ่มมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้ง ควรมีการพิจารณาเพิ่มมาตรฐานอีก 4 ข้อ ก็อาจจะชลอปัญหา มลภาวะเป็นพิษทางน้ำของทางน้ำชลประทาน ที่กรมชลประ-ทานดูแล ได้ดีขึ้น ตามรายละเอียดต่อไปนี้
1. อุณหภูมิของน้ำทิ้งที่จะระบายลงต้องไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งที่มีชีวิตในน้ำ เช่น สัตว์น้ำ และพืชน้ำ เพราะผู้ประกอบการบางรายพยายามระบายน้ำทิ้งจากหอน้ำหล่อเย็น ที่มีคุณภาพของน้ำทิ้งตรงตามมาตรฐานของที่กรมชลประทานกำหนดไว้ แต่มีอุณหภูมิสูงถึง 60-70 องศาเซลเซียส ซึ่งกรมชลประทานไม่ได้มีข้อกำหนดมาตรฐานเรื่องอุณหภูมิไว้ น้ำทิ้งที่อุณหภูมิสูงนี้ ก็จะไปทำอันตรายต่อโครงสร้างทางน้ำชลประทาน และสิ่งแวดล้อมในทางน้ำชลประทานได้
2. ค่า Total Kjeidahl Nitrogen (TKN) ของน้ำทิ้งที่ระบายลงต้องไม่เกิน 35 มิลลิกรัมต่อลิตรเพื่อป้องกันไม่ ให้มีการระบายธาตุไนโตรเจนในรูปแบบต่างๆ ลงในน้ำมากเกินไป เพราะธาตุไนโตรเจนนั้นถือว่าเป็นปุ๋ย จะไปทำให้พืชน้ำมีการเจริญเติบโตรวดเร็วมากกว่าปกติ ส่งผลให้ไปสร้างปัญหาและกระทบต่อการส่งน้ำและบำรุงรักษาอย่างมากขึ้น
3. ค่า Dissolved Oxygen (DO) ของน้ำทิ้งที่จะระบายต้องไม่น้อยกว่า 2 มิลลิกรัมต่อลิตร เพื่อ ไม่ทำให้ ปริมาณอ๊อกซิเจนในน้ำจากทางน้ำชลประทานมีผลกระทบที่จะลดน้อยลงไป เพราะอ๊อกซิเจนนี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในขบวนการบำบัดน้ำเสีย และน้ำทิ้งที่จะระบายลงในทางน้ำชลประทานควรต้องมีอ๊อกซิเจนละลายอยู่บ้าง มิ-ฉะนั้นน้ำทิ้งที่ระบายลงไปใหม่นี้ก็จะต้องไปอาศัยอ๊อกซิเจนจากทางน้ำชลประทานมาใช้เรื่อยไป ซึ่งเป็นการสร้างผลกระทบให้คุณภาพของน้ำในทางชลประทานที่มีอยู่เดิม ให้เกิดปัญหาขึ้นมาแทน
4. ค่า Chemical Oxygen Demand (COD ) ของน้ำทิ้งที่จะระบายลงต้อง ไม่เกิน 120 มิลลิกรัมต่อลิตร เพื่อป้องกันไม่ให้มีการระบายความสกปรกที่อยู่ในรูปของสารเคมีอนินทรีย์ต่างๆที่แบคทีเรียตามธรรมชาติไม่สามารถย่อยสลายได้ ลงในทางน้ำชลประทาน เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมทางเคมีและสิ่งทอ มีการพัฒนาไปรวดเร็วมาก ความสกปรกที่อยู่ในรูปของสารเคมีอนินทรีย์ต่างๆ (ซึ่งกรมชลประทานไม่กำหนดไว้ในมาตรฐานน้ำทิ้งของกรมฯ) นั้นเกิดมีขึ้นมาก ผู้ประกอบการก็อาศัยช่องโหว่ที่ไม่ผิดกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ นี้ ระบายความสกปรกที่อยู่ในรูปของสารเคมีอนินทรีย์ต่างๆที่แบคทีเรียตามธรรมชาติไม่สามารถย่อยสลายได้นี้ ลงทางน้ำชลประทาน สร้างปัญหาให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่สองฝั่งทางน้ำชลประทานมาตลอด ดังจะเห็นสภาพปัญหาลักษณะนี้ในย่านโรงงานอุตสาหกรรมแถวรังสิต เป็นต้น อีกประการหนึ่งคือผู้ประกอบการที่ต้องทำการบำบัดน้ำเสียรายใหญ่ๆบางราย พิจารณาเห็นว่ากรมชลประทาน ตรวจสอบความสกปรกของน้ำทิ้งเฉพาะค่า BOD5 ซึ่งดูแต่ความสกปรกที่มาจากสารอินทรีย์เท่านั้น ดังนั้นในขั้นตอนของขบวนการบำบัดจึงเติมสารละลายประเภท เคมีอนินทรีย์ต่างๆที่แบคทีเรียตามธรรมชาติไม่สามารถย่อยสลายได้ เพิ่มเข้าไป เพื่อเร่งทำปฎิกริยาให้ค่า BOD5 ลดลงตามมาตรฐานของกรมชลประทาน เท่านั้น แต่ผลก็คือความสกปรกที่อยู่ในรูปของสารเคมีอนินทรีย์ ต่างๆที่แบคทีเรียตามธรรมชาติไม่สามารถย่อยสลายได้ (ค่าCOD) กับมีค่าเพิ่มมากกว่าน้ำเสียทั่วไปที่พึงมีเสียอีก ( ซึ่งกรมชลประทานไม่ได้ตรวจสอบค่านี้ ) สุดท้ายก็คือเป็นการปล่อยมลภาวะเป็นพิษมาสร้างปัญหาและผลกระทบต่อทางน้ำชลประทาน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่อาศัยอาศัยอยู่สองฝั่งทางน้ำชลประทาน ต่อไป
มาตรฐานเพิ่มเติมทั้ง 4 ข้อนี้ อาจจะชลอปัญหามลภาวะเป็นพิษทางน้ำของทางน้ำชลประทานที่กรมชล-ประทานดูแลได้ดีขึ้นกว่าเดิม หากมีการพิจารณาทบทวนมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งที่จะขอระบายลงทางน้ำชลประทาน ครั้งต่อไปควรมีการนำไปพิจารณาประกอบด้วย
และไหนๆก็ได้เสนอแนวความคิดเรื่องการเพิ่มเติมมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งที่จะขอระบายลงทางน้ำชลประทาน แล้ว ผมก็ขออนุญาตเสนอแนวความคิดเรื่องการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทิ้ง ที่โครงการฯต่างๆจำเป็นจะต้องดำเนินการ ตักตัวอย่างน้ำทิ้งที่ปลายท่อระบายของผู้ขออนุญาตระบายน้ำลงทางน้ำชลประทาน โดยวิธีสุ่มตัวอย่าง แล้วนำมาให้สำนักวิจัยและพัฒนาทำการวิเคราะห์ นั้น ผมมีความเห็นว่าในปัจจุบัน อาจจะมีความลำบากมากขึ้น เพราะผู้ขออนุญาตระบายน้ำนั้น นับวันจะมีจำนวนเพิ่มเติมขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานก็มีลดน้อยลง และภาระกิจอื่นๆของกรมชลประทาน นั้น ก็มีทวีเพิ่มมากขึ้นตามแผนการพัฒนาของรัฐ ดังนั้นการดำเนินการตักน้ำทิ้งจากปลายท่อระบายน้ำของผู้ขออนุญาตฯโดยวิธีสุ่มตัวอย่าง แล้วนำมาให้สำนักวิจัยและพัฒนาทำการวิเคราะห์ นั้น เป็นภาระต่อโครงการชลประทานอย่างมาก เพราะโครงการฯบางโครงการอยู่ไกลจากสำนักวิจัยและพัฒนา การดำเนินการก็ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้รวดเร็วตามคำสั่งกรมฯ ทำให้ได้ผลการวิเคราะห์ที่คลาดเคลื่อนไปได้บ้าง บางโครงการฯมีผู้ขออนุญาตฯจำนวนมาก เจ้าหน้าที่กรมชลประทานดำเนินการวิเคราะห์คุณภาพน้ำทิ้งให้ไม่ทัน สร้างปัญหาต่อการตรวจสอบอย่างมาก ผมจึงใคร่ขอเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยการแก้ไขคำสั่งกรมชลประทานที่ 883/2532 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2532 โดยให้โครงการชลประทานสามารถนำส่งตัวอย่างน้ำทิ้งที่ปลายท่อระบาย ของผู้ขออนุญาตระบายน้ำลงทางน้ำชลประทาน โดยวิธีสุ่มตัวอย่างดังกล่าว ไปให้ห้อง LAB ที่ได้มาตรฐานของสถาบันการศึกษาที่อยู่ใกล้เคียง หรือห้อง LAB เอกชนที่กรมชลประทานรับรองมาตรฐานแล้ว เป็นผู้ทำการตรวจวิเคราะห์แทน โดยผู้ขออนุญาตฯจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเอง (เพราะเป็นผู้ได้ประโยชน์) สำหรับแนวทางป้องกันการสมยอมกันระหว่างผู้ขออนุญาตและห้อง LAB นั้นอาจจะทำได้วิธีหนึ่งคือ โครงการชลประทานไม่ต้องแจ้งรายละเอียด ต่างๆของ Sample น้ำทิ้งนั้นให้ห้อง LAB ทราบ แจ้งเพียงแต่แจ้ง Code ชื่อ Sample ให้ห้อง LAB ทราบ เท่านั้น ก็จะเป็นการป้องกันการสมยอมได้ชั้นหนึ่ง หรือจะเพิ่มการป้องกันอีกชั้นหนึ่งก็ได้ โดยการนำส่ง Sample น้ำทิ้งตามแนวทางข้างต้นให้ห้อง LAB สองแห่งทำการทำการตรวจวิเคราะห์ แล้วนำผลมาเปรียบเทียบกัน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสอีกขั้นตอนก็ได้ สำหรับห้อง LAB ของสำนักวิจัยและพัฒนานั้น ก็เปลี่ยนสถานะจากผู้ตรวจวิเคราะห์ มาเป็นผู้สุ่มตรวจสอบประเมินผลการทำงานของ LAB สถาบันการศึกษา และห้อง LAB ของเอกชน เท่านั้น สถานการณ์เรื่องการยุ่งยากในการตรวจวิเคราะห์คุณภาพทิ้งในทางน้ำชลประทาน ของโครงการชลประทานก็จะบรรเทาไปได้ระดับหนึ่ง และหวังว่าปัญหาเรื่องน้ำเสียที่เกิดขึ้นในพื้นที่โครงการชลประทาน นั้น จะบรรเทาเบาบางลงได้
บทสรุปในภาคท้ายนี้ จะขอชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันปัญหาน้ำเสียในทางน้ำชลประทานนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าในอดีต โดยเฉพาะในฤดูแล้ง สาเหตุปัญหามาจากจำนวนประชากรที่มีเพิ่มมากขึ้น การเจริญเติบโตด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามากขึ้นกว่าในอดีต การผลิตและการบริโภคผลิตภัณฑ์ก็เกิดมีขึ้นมากเป็นเงาตามตัว เศษสิ่งที่เหลือจากขบวนการผลิตและการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ก็คือที่มาของปัญหาน้ำเสีย ประกอบปัจจุบันการแข่งขันทางด้านธุรกิจการค้าในระบบทุนนิยมเป็นไปอย่างเฟื่องฟู ผู้ประกอบการบางรายต้องการลดต้นทุนการผลิต จึงหันมาศึกษาแง่มุมทางกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ เพื่อหาช่องโหว่ที่ไม่ผิดกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ แล้วดำเนินการปล่อยมลภาวะเป็นพิษต่างๆที่ไม่กำหนดไว้ในกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ นั้น ออกมาสร้างปัญหาให้กับประชาชนที่อาศัยน้ำจากทางน้ำชลประทานอุปโภค-บริโภค ดังนั้นเพื่อให้ปัญหาน้ำเสียในทางน้ำชล-ประทานบรรเทาเบาบางลงไป โครงการชลประทานควรจะต้องให้ความสนใจในการติดตามดูแล แก้ไขปัญหา และประเมินสถานะการณ์น้ำเสียในพื้นที่ที่ดูแลอยู่เพิ่มเติมขึ้น โดยใช้คำสั่งกรมชลประทาน ที่ 883/2532 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2532 และพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช 2485 ซึ่งมีการแก้ไขต่างๆจนถึงลำดับปัจจุบัน เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน และเพื่อในการดำเนินการสัมฤทธิ์ผล เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการควรจะต้องศึกษาเอกสารข้างต้นให้ชัดเจนก่อนจะดำเนินการ เพราะเป็นแง่มุมทางกฎหมาย สำหรับเจ้าหน้าที่กรมชลประทานส่วนกลางที่ดูแลเรื่องนี้ สามารถจะช่วยเหลือได้โดยนำกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆที่เกี่ยวข้อง มาพิจารณาทบทวนและปรับปรุงให้ใช้งานได้ทันยุคสมัยที่เกิดปัญหาในลักษณะปัจจุบันได้ ซึ่งจะทำให้ปัญหาเรื่องน้ำเสียในทางน้ำชลประทานนี้ก็จะบรรเทาเบาบางลงไปได้ระดับหนึ่ง ก่อนจะจบบทความฉบับนี้ ผมใคร่ขอเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า “ กฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆที่ออกมาเพื่อใช้กับสังคมนั้น ออกมาเพื่อใช้ให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบและไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และโดยที่มนุษย์เป็นผู้ออกกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆเหล่านี้เอง แต่เมื่อกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆเหล่านี้ ยังไม่สามารถใช้แก้ไขปัญหาให้มนุษย์ในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบและไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันได้ ดังนั้นก็ควรต้องเป็นมนุษย์เหมือนกันอีกนี่แหละ ที่ต้องมาเป็นผู้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆเหล่านี้ เพื่อสามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาของมนุษย์ในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบและไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันได้ ซึ่งผมและท่านผู้อ่านทุกท่านที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์นี้ ก็กำลังเฝ้ารอคอยความสงบสุขเช่นนั้นกลับมา เหมือนเดิม…”

สวัสดีครับ… … …